เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ ก.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันปกติเราทำมาหากินนะ เราต้องทำมาหากิน เพราะเราเกิดมาเป็นคนมันต้องอาศัยอาหาร อาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม แล้วโลกนี้เป็นโลกธรรม ๘ ติฉินนินทา มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันเป็นเรื่องของปกติ ถ้าคนไปตื่นเต้นกับมันนะ มันก็เป็นความให้ทุกข์เดือดร้อน ถ้าคนไม่ไปตื่นเต้นกับมันใช่ไหม

ดูสิ คนเขาเกิดมาเป็นคนดี เกิดมาจากครอบครัวที่ดี เกิดจากพ่อแม่ที่ดี เขามีทรัพย์สมบัติของเขา แล้วลูกที่ดีรักษาทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ไว้ได้ เห็นไหม นั่นบุญพาเกิด แต่ของเราเกิดมานะ ปากกัดตีนถีบ เพราะเราเกิดมาโดยกรรมพาเกิด แต่เพราะเราก็มีวุฒิภาวะ เราก็ไม่ใช่คนที่ว่าจะไปตามกระแสสังคม เราก็หาอยู่หากินของเราจนเราจะยืนของเราได้ ถ้าเรายืนของเราได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สอนให้นิ่งดูดายนะ รักษาสมบัตินะ

“ครอบครัวใด ตระกูลใดรู้จักซ่อมบำรุงของเก่า ครอบครัวนั้นจะไม่ล่มจมเลย ครอบครัวนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวใดสุรุ่ยสุร่าย ครอบครัวใดไม่รู้จักซ่อมแซมของที่เสียหายให้ใช้ใหม่ได้ ซื้อใหม่ๆ ตลอดเวลา ครอบครัวนั้นจะเก็บทรัพย์สมบัติไว้ไม่ได้”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สละตรงไหน ไม่ได้ให้ทิ้งหมดนะ ให้สละคือให้สละทาน ให้สละทานมันเป็นการสละความตระหนี่ เพราะความตระหนี่มันเป็นยางเหนียว ยางเหนียวนี่เวลามันทุกข์ เวลาอารมณ์ความรู้สึก เวลามันอยู่ในใจ ทำไมมันสละไม่ได้ล่ะ?

การฝึกอย่างนี้ การสละจากภายนอกมันเท่ากับสละความทุกข์ยากจากภายในหัวใจไง คนเราเวลาเข้าที่คับขัน ดูสิเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนะ อึดอัดมาก เป็นหวัดเป็นไอ เห็นไหม ยังอึดอัดเลย หัวใจมันเข้าไปในที่คับขัน เข้าไปในที่ทุกข์ ทำไมจะไม่อึดอัดล่ะ? ฝึกกันไว้อย่างนั้นไง

เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอรักษาให้หาย เห็นไหม แต่เวลาเราทุกข์ใจ เราอึดอัดในหัวใจ หัวใจมันวิตกกังวล จะเอายาอะไรไปรักษามันล่ะ มันก็อาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเสียสละ เห็นไหม เสียสละเพื่อโลก เสียสละเพื่อเขา แล้วเราเป็นผู้ได้นะ เพราะเขาได้ความสงบร่มเย็นมาจากเรา

ดูสิ เวลาเราให้อาหารสัตว์ สัตว์มันยังดีใจกับเราเลย แต่นี่ผู้ทรงศีล เราสละทานเพื่อให้ผู้ทรงศีลนะ ผู้ทรงศีลก็รักษาชีวิตไว้เพื่ออะไร เพื่อเป็นผู้ชี้นำสังคม เห็นไหม ดวงตาของโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์บอก “ดวงตาของโลกดับแล้ว” ดวงตาของโลก

ถ้าดวงตาของเรานะ ใช้คอมพิวเตอร์ เห็นไหม จินตนาการกันเลยนะ ว่าอีก ๑๐ ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างนั้น อากาศ ภูมิอากาศจะเป็นอย่างนั้น นี่ดวงตาของวิทยาศาสตร์ไง ถ้าดวงตาของโลก มันมีโลกนอกโลกใน ไม่ใช่โลกอย่างนี้ ไม่ใช่โลกวิทยาศาสตร์นี้

เพราะโลกเรามันซับซ้อนด้วยวัฏฏะ เห็นไหม มันมีตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ โลกนี่มันซับซ้อนไว้ มันมีโลกของจิตวิญญาณ มันมีโลกของนรกอเวจี มันมีโลกของสวรรค์ มีโลกของวิญญาณ มีโลกของเทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม นี่รู้แจ้งโลกๆ อย่างนี้ไง เพราะทำดีอย่างนี้จะให้ผลอย่างนั้น ทำดีอย่างนั้นได้ผลอย่างนี้

เราเกิดมานี่ เกิดมาด้วยบุญพาเกิด เกิดมาเป็นมนุษย์จะทุกข์จะจน จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน การเกิดเป็นมนุษย์นี่อริยทรัพย์ มนุษย์สมบัติอันนี้สำคัญที่สุด เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ อริยทรัพย์อันนี้มันทำให้เรามีโอกาสได้ทำคุณงามความดีก็ได้ เป็นโจรมหาโจรก็ได้ เวลาเป็นโจรมหาโจรมันเอาอะไรไปทำกัน มันก็เอามนุษย์นี่ไปทำ มนุษย์นี่มีความคิดที่เป็นใฝ่อย่างนั้น มันก็ไปทำของเขา

อันนั้นก็แสวงหาสิ่งที่เป็นทุกข์เข้ามาในหัวใจ แต่ด้วยความอยากของใจไง ว่าสิ่งที่เราทำแล้วได้ประโยชน์ เราเอารัดเอาเปรียบเขานะ เราได้ประโยชน์ มันคิดประสาของมันนะ แต่ความจริงผลของมัน มันเร่าร้อนเพราะอะไร เพราะเราทำอะไรมันระแวง ดูคนทำผิด กล้าไปเจอหน้าตำรวจไหม เห็นตำรวจนี่มีอาการสั่นไหวเลยเพราะอะไร เพราะเรารู้อยู่เราทำผิด เห็นไหม แต่ถ้าเราเป็นคนถูกต้อง ผู้ใดมีศีลมีธรรม จะองอาจกล้าหาญเข้าได้ทุกสังคมเลย เพราะเราไม่มีแผล เราไม่มีแผลเลย

แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา มันยิ่งยอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่ ปัญญาคืออะไร คือในสังคมไหนก็แล้วแต่ เราเข้าไปแล้วเราไม่เคอะเขินไง เรากล้าเข้าสังคมเพราะเราไม่มีแผลเลย แต่เราก็ไม่กล้าเข้าสังคมนั้นเพราะอะไร เพราะเราไม่รู้กติกาของสังคมนั้นเขาเป็นอย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราจะเข้าใจของเรา เห็นไหม ปัญญาอย่างนี้ มีการฝึกฝนนะ ปัญญาเกิดเองไม่ได้ ดูสิ เด็กๆ นี่ต้องส่งไปโรงเรียนเลย ไม่ไปโรงเรียนมันจะศึกษาเองไหม เว้นไว้แต่ศึกษาเองโดยตัวเองที่บ้าน ศึกษาเอง ต้องศึกษา ไม่ศึกษาปัญญาเกิดไม่ได้หรอก

ใจก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ฝึกฝนขึ้นมา ทำสมาธิขึ้นมาให้มันสงบก็แสนทุกข์แสนยากอยู่แล้ว เห็นไหม ความสงบของใจ ถ้าใจมันปล่อยวางอารมณ์เข้ามาได้ มันสงบของมันได้ขึ้นมา มันจะมีความสุขส่วนหนึ่ง ความสุขส่วนหนึ่งเท่านั้นเพราะอะไร เพราะมันเป็นอนิจจังไง

เหมือนเราเป็นเศรษฐีเลย เราหาเงินขึ้นมา เงินเราใช้ไป พอเงินหมดไปเราก็ทุกข์ เห็นไหม จิตสงบเข้ามาเป็นครั้งเป็นคราวก็เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมา ปัญญามันชำระกิเลสเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันต้องมีการฝึกฝนไง นี่อาหารของใจ มันมีหยาบมีละเอียดเข้าไป เห็นไหม มันละเอียดมหาศาลเลย เข้าไปนะ ถ้าเราไม่ฝึกฝนเลยจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

สิ่งนี้เป็นเรื่องของธรรมนะ แต่ถ้าเรื่องของเรา หน้าที่การงานของเรา เราก็รักษาหน้าที่การงานของเรา วันพระวันเจ้าเราก็นัดสละทานกันไป เขาจะว่าเราทุกข์เราเป็นคนไม่ทันโลก นั่นเป็นเรื่องของเขา คนทันโลกไม่ทันโลกมันทันที่ไหน มันทันโลกในหัวใจต่างหากล่ะ ไอ้โลกอย่างนั้นใครทันใคร

ดูสิ ในประเทศพัฒนาแล้วกับไม่พัฒนานะ เขาต่างกันด้วยเวลาขนาดไหน มันพัฒนาทันกันได้ไหม แต่ในประเทศที่ไม่พัฒนานั้น เขาก็มีเศรษฐีเขามีคนจนนะ ในประเทศที่พัฒนา เขาก็มีเศรษฐีมีคนจนเหมือนกัน ไอ้นี่มันเป็นการให้ค่าไง

ดูสิ ตัวเลขปัจจุบันนี้ เวลาเศรษฐกิจมีความเป็นไป เห็นไหม เสียหายกี่พันล้านกี่หมื่นล้าน มันเป็นตัวเลข มันเป็นไม่เป็นจริงยังไม่รู้เลย มันเป็นตัวเลขแล้ววิตกกังวล วิเคราะห์โครงการกัน ทำวิจัยกันไป นี่เป็นเรื่องของเขานะ แล้วก็ตื่นเต้นไปกับเขา

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า “ปัจจัยเครื่องอาศัย” ถ้าเรามีที่อยู่อาศัย มียารักษาโรค นี่ปัจจัยเครื่องอาศัย เราดำรงชีวิตได้แล้ว โลกจะเป็นอย่างนั้น มันอยู่ที่ใครคุมสื่อนะ เวลาคุมสื่อขึ้นมาก็ตีสื่อไปอย่างนั้น ตีข่าวไปอย่างนั้น ให้ตื่นเต้นกันไปตามกระแสแล้วเขาก็ตักตวง

ดูสิ ดูเวลาตลาดหุ้น เห็นไหม ปล่อยข่าวกัน เวลาให้มันตก แล้วเขาก็ช้อนซื้อกันไป ไอ้พวกเราก็ตื่นเต้นไปกับเขานะ แต่ถ้าเรามีสติของเรา เรามีจุดยืนของเรา เราจะไม่ตื่นเต้นไปกับเขา เราอาศัยของเขา เราจะลงทุน การลงทุน การแสวงหา เราก็มีสติ เราไม่เป็นเหยื่อของเขา สิ่งนี้มีการฝึกฝนได้ แล้วมันฝึกสติได้

ดูสิ โมหจริต โทสจริต โมหจริตความเชื่อเขามีข้อมูลไหม มีปัญญาไหม ใคร่ครวญไหม นี่ฝึกใจฝึกอย่างนี้ไง ฝึกร่างกาย ร่างกายมันฝึก คำว่า “ฝึกร่างกาย” เห็นไหม ดูสินักกีฬาเขาฝึกกัน เขาออกกำลังกายกัน เขาแข็งแรงขึ้นมา เห็นไหม ฝึกร่างกาย ร่างกายเจริญเติบโตขึ้นไปเป็นธรรมชาติของมัน พอโตขึ้นมาแล้วก็ไม่อยากจะแก่ ชะลอความแก่ตลอดเวลา

นี่ร่างกายมันเป็นธาตุ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มันสืบต่อไป มันยับยั้งไม่ได้หรอก ถึงที่สุดมันต้องตายไป แต่หัวใจไม่เคยตายไง เวลาฝึกขนาดไหน เวลาไปเกิดอีกภพหนึ่งชาติหนึ่งขึ้นมา ตัวจิตมันฝึกมาดี เกิดมาดี เห็นไหม สติสัมปชัญญะดี เราดูได้จากลูกหลานเรา บางคนเชาวน์ดี บางคนปัญญาดี บางคนขี้ดื้อ บางคนอะไร สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่จิตมันฝึกฝนมา วุฒิภาวะของจิตมันฝึกฝนมา แต่พลังงานคือตัวจิตไม่เคยตาย มันมีสภาวะแบบนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราทำดีของเราไง ความดีของเรา เราทำของเราไปเรื่อยๆ เราทำสะสมเข้าไปเรื่อย จิตมันจะพัฒนาขึ้นไป จะเกิดภพใดชาติใดก็จิตอันนี้ ไม่ต้องไปตกใจเลย ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำชั่วแล้วไม่ได้ชั่ว ไม่ต้องไปตกใจเลย เราทำของเราขึ้นมามันสะสมลงที่นี่ เพราะว่าถึงที่สุดแล้วมันเป็นความชอบไง

อย่างเช่นปัญญา เห็นไหม เราเห็นอะไรเรามีความฉุกคิดนะ ปัญญาของเราเกิดขึ้นมา บางคนเห็นจนตำตา ดูสิ ดูเวลาเราเดินไปนะ เหยียบหนาม เรารู้ว่ามันมีหนามไหม ทำไมเหยียบขึ้นมาแล้วมันเจ็บล่ะ เพราะเราเข้าใจว่าไม่มีหนาม แต่มันเหยียบขึ้นมามันก็เจ็บ เห็นไหม เราไปเหยียบหนามขึ้นมามันก็เจ็บตัวเรา สิ่งนี้มันเป็นไปจากโลกภายนอก เพราะเราไม่เชื่อว่าสิ่งนั้นมีหรือไม่มี

นี่ก็เหมือนกัน เพราะใจมันไม่เชื่อไง ปัญญามันไม่เกิดขึ้นมา ตำตามันยังคิดไม่เป็นเลย แต่ถ้ามันมีปัญญาขึ้นมานะ มันคิดของมันขึ้นมาได้ มันไม่เหยียบหนาม ไม่เหยียบขวากหนาม เห็นไหม นี่มันเป็นวุฒิภาวะของใจ ถ้าใจมันฝึกฝนขึ้นมาอย่างนี้ มันมีปัญญาอย่างนี้ มันเข้าใจอย่างนี้ เห็นไหม มันก็เป็นไป

เหมือนกัน เราฝึกฝนของเราอย่างนี้ ถ้าเราสละของเรา เราทำของเรา สิ่งที่เด็กเขามีวุฒิภาวะ เขามีฉลาดมีโง่ของเขา เพราะเขาสร้างของเขามาทั้งนั้นล่ะ แล้วเกิดมาแล้วก็ในโลกปัจจุบันนะ สิ่งแวดล้อมวิทยาศาสตร์ก็ว่า เพราะสิ่งแวดล้อมทำให้เด็กฉลาดทำให้เด็กไม่ฉลาด นี่ก็ว่าวิทยาศาสตร์นะ

เด็กฉลาดไม่ฉลาด สิ่งแวดล้อมดีขนาดไหน มันมีส่วนเกื้อกูล ปัจจุบัน เห็นไหม กรรมอดีตก็ส่วนหนึ่ง เห็นไหม สิ่งที่กรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมเก่าก็มีส่วนหนึ่ง กรรมใหม่ก็มีส่วนหนึ่ง กรรมใหม่คือปัจจุบันนี้ก็มีส่วนหนึ่ง สิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งนี้เราจะรักษาของเราไป เราจะรักษาของเรา มันจะดีขึ้นไป เห็นไหม เราฝึกฝนอย่างนี้ เราเชื่ออย่างนี้ เหตุผลไง เหตุ

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ถ้าเราย้อนกลับไปการกระทำของเรา ทำสิ่งดีขึ้นมา มันก็เหตุสร้างเราดี นี่ปัจจุบันนี้เราก็สละทานของเรา สละทานไปก่อน สละทานขึ้นไป พอจิตมันพัฒนาขึ้นมาแล้วมันก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ มันก็อยากจะย้อนกลับเข้ามาชำระหัวใจ มันก็เหมือนตัดแต่งเลย ปัจจุบันนี้เขาตัดแต่งเมล็ดพันธุ์พืช เขาตัดแต่ง เห็นไหม เขาผสมให้เป็นพันธุ์ที่ดีขึ้น

หัวใจก็ตัดแต่งด้วยกรรม ด้วยการกระทำ ด้วยการกระทำของเรา ตัดแต่งจากภายนอก เห็นไหม ดูสิ เวลาเราดูจากภายนอกก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเราเข้าไปถึงภายใน เราไปตัดแต่งจากภายใน มันก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน วิชาการก็เป็นส่วนหนึ่ง การกระทำก็เป็นส่วนหนึ่ง นี่ก็เหมือนกัน ทาน เห็นไหม การศึกษา การปริยัติก็เป็นส่วนหนึ่ง การปฏิบัติก็เป็นส่วนหนึ่ง การปฏิบัติมันภาคปฏิบัติตรง เห็นไหม มันดัดแปลงใจตรงๆ เลยแหละ เวลานั่งก็เกิดเจ็บปวดขึ้นมา ก็เจ็บปวดขึ้นมาต้องทนเอา ต้องศึกษาเอา เห็นไหม นี่มันเข้าไปตัดแต่งจากภายใน

ถ้าอ่านแล้วเวทนาคืออะไร ยังงง เวทนาคืออะไร ยังถามกันไม่รู้เรื่องนะ แต่ถ้านั่งไป เวทนารู้ไม่รู้ล่ะ แต่มันก็เจ็บอยู่นั่น นั่นแหละเวทนา แล้วจะตัดแต่งอย่างไร จะอดทนอย่างไร จะแปรสภาพอย่างไร จะเปลี่ยนให้ใจมีวุฒิภาวะขึ้นมาได้อย่างไร นี่มันพัฒนาขึ้นมา ปัญญาเกิดอย่างนี้ เราใคร่ครวญอย่างนี้ นี่มันอยู่ที่เราหมด

เวลาเขาทำงานกัน ทำงานข้างนอกนะ ต้องไปทำหน้าที่การงาน เห็นไหม ทำงานก็ต้องไปที่ทำงาน แต่หัวใจของเรามี เราอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ เห็นไหม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ ในบ้านเราก็ทำงานได้ ไปวัดก็ทำงานได้ ทำงานคือใช้ปัญญา ปัญญาจะเข้ามาชำระกิเลสของเรา

วันพระวันเจ้า นี่พุทโธนะ พุทโธ เวลาไปกราบพระกราบเจ้านะ พุทโธคือพระพุทธเจ้า คือความรู้สึกเรานี่ เวลาอยู่ในบ้านนะ พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก เพราะเราเกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดมาจากพ่อจากแม่แต่ใจเป็นของเรา พระพุทธเจ้านี่ พุทโธอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราเห็นใจของเรา เราจะเห็นพระพุทธเจ้า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ความรู้สึกอันนี้ควบคุมมันได้ มีความสุขมาก เห็นไหม ปฏิบัติขึ้นมาแล้วก็ชำระกิเลส กิเลสคือความรู้สึกของเรา คือความสุขความทุกข์ของเรา วิมุตติสุข สิ่งใดที่สละออกไป ทำมาขนาดไหนก็แล้วแต่เกิดจากความคิด เกิดจากตัวจิต จิตเป็นคนทำทั้งหมด จะดีหรือชั่วจะซับลงที่นี่

แล้วเราทำดีที่สุดของเราขึ้นมา มันจะซับให้เราดีขึ้นมาๆๆ จนถึงที่สุดมันจะสะอาดได้ แล้วที่นั่นมันจะวิมุตติสุข เห็นไหม วิมุตติสุข วิมุตติ-สมมุติอยู่กับเรา ถ้ายังเป็นสมมุติอยู่ จิตนี้พาเกิดพาตายไปสภาวะแบบนั้น ถ้าวิมุตติขึ้นมาก็มีอยู่เหมือนกัน แต่มันมีถึงที่สุดมันมีความสุขของมัน นี่ในหัวใจของเรา

วันพระ พระในบ้านคือพ่อแม่ พระในตัวเรา ถ้าเราเห็นพระในตัวเรา เราเห็นพระพุทธเจ้า แล้วเราเฝ้าพระพุทธเจ้า เราชำระจนสะอาดขึ้นไป เห็นไหม ถึงที่สุดเราจะมีธรรมไง “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เห็นไหม ใจเป็นธรรม ธรรมเป็นใจ อันเดียวเป็นธรรมอันเอกในหัวใจของเรา

นี่แสวงหาขนาดไหนถึงที่สุดต้องกลับมาที่เรา ทวนกระแสมาที่เรา โลกเป็นของโลกนะ โลกนี้มีเพราะมีเรา ถ้าเราเข้าใจโลกทั้งหมดแล้ว โลกนี้ก็ดับหมดเพราะเรารู้เท่าทันโลกหมด เป็นอย่างนี้ ไม่ต่างจากนี้ไปเลย เป็นอยู่อย่างนี้ รู้เท่าทันหมด รู้เข้าใจ สุดสิ้นที่นี่ แล้วจะมีความสุขที่นี่

ใจของเรานี้คือธรรมะโดยการประพฤติปฏิบัติ ธรรมะศึกษาอย่างหนึ่ง ธรรมะปฏิบัติอย่างหนึ่ง เราศึกษาของเรา เราจะเข้าใจของเรา นี่ธรรมเจริญๆ ตรงนี้ เจริญตรงมีคนที่ทำได้ แล้วเราก็ทำของเราได้ มีเครื่องพิสูจน์ในหัวใจเรา เอวัง